เปิดประเทศ-ตามซิกไปต่อ
หูผึ่งกันทั้งประเทศ เมื่อค่ำวันวาน(11ต.ค.)ที่ทีมทำเนียบรัฐบาลแจ้งนักข่าวว่าเวลา 20.30น.นายกฯจะมีแถลงการณ์เรื่องสำคัญออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ
ขอความร่วมมือ จากสื่อแขนงต่างๆและสื่อหนังสือพิมพ์ให้ พื้นที่ข่าวหน้า1จนสื่อเดา กันใหญ่ว่าเรื่องอะไรระหว่างการบ้านหรือการเมือง สุดท้ายเป็นเรื่อง “เปิดประเทศ” 1 พ.ย.64 รับนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาแบบไม่ต้องกักตัวหลังจากที่มีการพูดคุยกับเอกชนภาคการลงทุนเมื่อวาน
โดย “นายกฯลุงตู่”แถลงเป็นเรื่องเป็นราวทำนองยอมเสี่ยงเปิดประเทศตามสัญญา120วันตามที่ลั่นวาจาไว้ที่จะครบกำหนด 15 ต.ค.ที่เริ่มโดนทวงถามจากภาคเอกชนต่อมาตรการรองรับด้านเศรษฐกิจ โดยมั่นใจว่าทำได้เริ่มกับ อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน อเมริกาจากนั้น 1 ธค.ค่อยให้ขายเหล้าในร้าน- เปิดสถานบันเทิง รับเทศกาลปีใหม่ยอมรับ แม้เสี่ยง แต่เตรียมมาตรการรองรับได้ เพราะไม่อาจปล่อยโอกาส เทศกาลท่องเที่ยวปลายปี ก่อนชวนคนไทย ออกจากความกลัวโควิดเพราะไทยประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก ในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชน
ในขณะที่ปฏิกิริยาจากต่างประเทศทั้งบีบีซี.และเดอะการ์เดียนรายงานทำนอง รบ.ไทยหวังฟื้นการท่องเที่ยว เตรียมเปิดประเทศรับต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้ว และมาจากประเทศความเสี่ยงต่ำ 1 พ.ย. ทั้งที่รู้ว่ามีความเสี่ยง ขณะที่ไทยยังพบผู้ติดโควิด-19 รายใหม่แตะหมื่นในวันก่อน ที่ก็สอดรับกับภาพความกังวลในแวดวง “หมอ”โดยเฉพาะ ประเด็น“คลัสเตอร์ใหม่ๆ”ที่ยังเกิดขึ้นใน หลายพื้นที่
โดยเฉพาะ จว.ชายแดนใต้ หรือ”คลัสเตอร์ย่อย”ที่มีเกิดขึ้นประปรายในบางจังหวัดหลังที่ผู้คนเริ่มออกมาใช้ชีวิตเสมือนเกือบปกติที่มีการเปิดห้างเปิดร้านอาหารแต่ยังไม่มีการเปิดให้กินสุราที่ยังต้องรอวันที่ 1ธ.ค. แม้ตัวเลขโควิดวันนี้(12ต.ค.)จะมีความสอดรับกับที่ “นายกลุงตู่”แถลง ลดลงอยู่ที่ 9,445 เสียชีวิต 84 หายเพิ่ม 11,452 ยังรักษา 108,174 โดยมียอดตรวจATKพบติดเชื้อ 1,368 ราย เช่นเดียวกับ “หมอหนู”ที่พร้อมสนองธงเปิดประเทศโดยบอกว่าระบบสาธารณสุขไร้ปัญหารอ ศบค.ที่จะเคาะสรุปมาตรการว่าจะคลายล็อกเลิกเคอร์ฟิวเพิ่ม 14 ต.ค.ซึ่งจะพิจารณาถึง 10 ประเทศ
เรียกว่า มุข “เปิดประเทศ”วนลูปมาในจังหวะที่ “โหมดการเมือง”กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอีกครั้ง หลังจากที่ “นายกฯลุงตู่”ผ่านศึกซักฟอกมาแบบเกือบเอาตัวไม่รอด เพราะถูกยำใหญ่เป็น “ตำบลกระสุนตก”คนเดียว ว่า ล้มเหลวในการบริหารจัดการสถานการณ์โควิดจนเกิดความเสียหายตายเจ็บและเศรษฐกิจปากท้องประชาชน จนกระแสความนิยมวูบลง ก่อนจะนำมาสู่ปรากฏการณ์ “กบฏ”ในพรรคพลังประชารัฐเพื่อโค่นล้ม แต่ก็ไหวตัวทันและปฏิบัติการ “ปราบกบฏ”ด้วยการ “ปลดรัฐมนตรี”ที่ไม่ได้ถูก “ซักฟอก”อย่าง “ผู้กองนัส-อ.แหม่ม”
โดยไม่มีการปรับ ครม.ที่การปลดดังกล่าวกลายเป็น “เอฟเฟกต์การเมือง”ลามสู่ความขัดแย้งภายใน “ศูนย์อำนาจ3ป.”ระหว่าง “บิ๊กตู่”กับ”หัวหน้าป้อม”กลายเป็นเรื่อง การบ้าน ผสม การเมือง กระทั่งไหลมาสู่การกุมสภาพพรรคพปชร.ที่นำมาสู่การเปรียบเทียบวัดกำลังในการลงพื้นที่หลังการส่งสัญญาน “เลือกตั้ง”ที่หมายถึงอาจมีการยุบสภาหรือมีอุบัติเหตุการเมืองเกิดขึ้น และรวมถึงการเสนอชื่อ “นายกรัฐมนตรี”ของ พปชร.ที่ “หัวหน้าป้อม”แม้จะบอกว่า”ลุงตุ่”ยังเป็นแคนดิเดตแต่ก็ไม่เคยบอกว่าจะมีการเสนอเพียงชื่อเดียวซักครั้ง
และที่มาสอดรับคือแจ้งเตือนความพร้อมกติกาเลือกตั้งใหม่จากกกต. ที่ตามมาด้วยการเปิดชื่อนายกฯของแต่ละพรรคการเมือง ก่อนจะตามมาด้วยโพลนิด้าเมื่อวาน(11ต.ค.)ที่ร้อยละ 40.73 ระบุว่า “นายกฯลุงตู่”ควรประกาศว่า 8 ปี คืออยู่ในตำแหน่งไม่เกินเดือน ส.ค.2565 และร้อยละ 40.35 เห็นควรประกาศยุบสภาฯโดยเร็วรองลงมา ร้อยละ 30.05 เห็นว่าควรประกาศยุบสภาฯ
หลังจากกฎหมายการเลือกตั้งได้รับการแก้ไขให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่แม้เอาเข้าจริงฝ่ายรัฐบาลยังไม่มีใครอยากจะยุบสภา แต่กระแสดังกล่าวนำมาสู่การประเมินถึงร่องรอยความขัดแย้งในพปชร.ว่าจะเป็นปัญหาในห้วงการเปิดสภาฯเพื่อพิจารณากฎหมายสำคัญ 1 พ.ย. ที่จะถึงนี้ ว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุอย่างที่ “อ.วิษณุ”เคยเตือน ที่ทั้งหมดถูกนักวิเคราะห์ว่า นำมาสู่การรีบ “ส่งซิกอยู่ต่ออีก 5ปี”ในการลงพื้นที่นครฯของ”ลุงตู่” และนำมามาสู่การรีบชิงจังหวะแถลงเปิดประเทศ.วันที่ 1พ.ย.ดังว่า
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news