“โอไมครอน”สับสนซ้ำรอย ผู้คนเริ่มออกอาการ “หลอน”ผวาภาพ “วนลูป”การกลับมาของ “โควิด
ต้องลุ้นว่า “โอไมครอน”ที่มาระบาดในจังหวะส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หลายประเทศในยุโรปติดระนาววันเป็นหมื่น จนต้องงดจัดงานเคาวน์ดาวน์บางประเทศปิดการเข้าประเทศ ส่งผลให้ “นายกฯลุงตู่”และ “หมอหนู” ศบค. และ สาธารณสุข ต้องรีบตัดสินใจ “ตัดโควิดแต่ต้นลม”หยุดการนำเข้า “ฝรั่งเที่ยวไทย”เพิ่มเติมจากเดิมที่มีลงทะเบียนไว้ 2 แสน แม้จะเสียดายที่อุตสาห์เสี่ยงประกาศ “เปิดประเทศ”หวังจะมีรายได้เข้ามาเติมมากกว่าเงินที่กู้มาใช้เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็จำใจ พร้อมๆกับอาการ “โรคลักปิดลักเปิด”ที่เริ่มกลับมากำเริบอีกครั้งของ“ศูนย์อำนาจ”กับฝ่ายปฏิบัติ กับอาการยึกยักการจัดงานเคาวน์ดาวน์ล่าสุด ที่แม้ ศบค.ครม. จะมีมติไปแล้ววันก่อนให้จัดได้ถึงตีหนึ่ง คืนวันที่ 31ธ.ค. จนบรรดาภาคธุรกิจเอกชนหลายแห่งพากันเตรียมงานประกาศอีเวนต์ใหญ่เคาน์ดาวน์ส่งท้ายปี
แต่ก็กลับมีความสับสนเกิดขึ้นจากการออกมาประกาศเมื่อวาน(23ธ.ค.)ของกรุงเทพมหานคร
“ผู้ว่าบิ๊กวิน” “พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง” ที่ให้ “รองผู้ว่ากทม.”ออกมาแถลง “ตัดอารมณ์คนกรุงฯ”ที่ใจเตลิดพร้อมการด์ตกคืนเคาน์ดาวน์ ยกเลิกการจัดงานปีใหม่และกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีลานคนเมือง และงดกิจกรรมหมดทั้ง 50 เขต พร้อมขอเอกชนงดเคาท์ดาวน์ เพื่อสกัดแพร่เชื้อโอมิครอน ทำเอาภาคเอกชนที่เตรียมงานกันไปแล้วออกอาการสะดุ้ง
ทำให้วันนี้ “นายกฯลุงตู่”ที่มีข่าวแอบเคืองทำไมไม่บอกกันก่อน ต้องให้ “โฆษกรัฐบาล”ออกมาแจงแก้ข่าว ยืนยันเอกชนใน กทม.ที่ได้รับอนุญาตแล้ว สามารถจัดงานช่วงปีใหม่ได้ แต่กำชับให้คุมเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่ยกเลิกเฉพาะงานที่ กทม. เป็นเจ้าภาพ -สวดมนต์ข้ามปี และงานรื่นเริง ถ.ลาดหญ้า
เรียกว่าแม้เป็นช็อตเล็กๆกับการพูดคนละที จนประชาชนสับสน ระหว่างรัฐบาล กับ กทม.ที่มีผู้ว่ากทม.มาจากการแต่งตั้งโดย คสช. โดย “นายกฯลุงตู่” แต่ก็ส่งผลไม่น้อย ในจังหวะที่ ผู้คน ยังมี “ภาพจำ” เมื่อครั้ง โควิดสงกรานต์ ที่นำมาซึ่งภาพการระบาดใหญ่ ที่เกิดปัญหาการประสานงานระหว่าง “ศบค.” “สาธารณสุข” และ “กทม.”จนเกิดปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำให้กับ “หมอหน้างาน” ตั้งแต่ปัญหา การป้องกัน โดยการจัดสรรวัคซีน มาถึงการรักษา ที่เกิดอาการเตียงเต็มเตียงล้นจนมีภาพเจ็บตายข้างถนน เจ็บตายในบ้าน
นำมาสู่การถูกฝ่ายการเมืองนำมาเปิด “ศึกซักฟอก”ยำใหญ่“นายกฯลุงตู่”ที่บริหารแบบ “ซิงเกิ้ลคอมมานด์”นั่งหัวโต๊ะ ศบค.รวมศูนย์ “ข้าพขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”ที่ได้ผลคะแนนออกมารองบ๊วย และส่งผลต่อเรตติ้ง“ความสงบ”ที่เคยพีค ไม่นับรวม “ส่วนผสม”จาก วิกฤติเศรษฐกิจปากท้องประชาชน ที่มาจากผลกระทบจาก “โควิด”แบบ “เจ็บไม่รู้จบ”ที่คะแนนติดลบ และ ถูกคาดหวังในช่วงปลายปี ที่ทำท่าจะ “ซ้ำรอย”การบริหารจัดการ เวตน้ำหนัก “สุขภาพ-เศรษฐกิจ”อย่างที่ “นายกฯลุงตู่”บอกว่ารัฐบาลพยายามรักษาสมดุลในสองมิตินี้
อาการ “ไปกันคนละทาง”เหมือนไม่มีการประสานกัน ที่เริ่มออกมาของกทม.กับรัฐบาล
ไม่นับรวม อาการก่อนหน้านี้ของ สาธารณสุข กับ ศบค. กับจังหวะตัดสินใจที่จะปิดทางเข้าประเทศชั่วคราว กลายเป็น “สัญญาณ”ที่ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่า ถึงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเกิดระบาดหนัก จะเข้าอีหรอบเดิม ที่ “หมอหน้างาน”ต้องมา สับสน กับคำสั่งการจาก “หน่วยเหนือ” จนต้อง “รับหน้าเสื่อ”ถูกประชาชนต่อว่า และทำให้สถานการณ์ถูกลากไปสู่อาการ “เอาไม่อยู่”แบบที่เคยเกิดขึ้นหรือไม่
ในขณะที่ คู่ขนานกันไป ในจังหวะที่การเมืองกำลังมาถึงจุดที่ “ประชาชนอยากเลือก”กลิ่นไอการเลือกตั้งท้องถิ่นกำลังฟุ้งกระจาย จาก อบจ. ถึง อบต. และกำลังมาที่ เลือกตั้งผู้ว่า กทม. และเลือกตั้งใหญ่ ภาพการ “วนลูป”ซ้ำรอย ดังว่า ก็ยิ่งเป็น “อัตราเร่ง”ปฏิกิริยาไปสู่ ความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในกลางปีหน้าเช่นกัน.
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews