ล็อกโควิด ลุงตู่ทรงตัว
ล็อกโควิด-ลุงตู่ทรงตัว ตัวเลขโควิดพุ่งสูงสวนทางคะแนนนิยมตกต่ำ
ศูนย์ข้อมูล COVID-19 เปิดเผยรายงานล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 ของประเทศไทย ประจำวันศุกร์ที่ 7 ม.ค. 2565 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ รวม 7,526 ราย เพิ่มขึ้นจากวานนี้อีกเกือบ 2 พันคน โดยแบ่งเป็นผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 6,706 ราย, ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 433 ราย,ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 39 ราย และ ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 348 ราย รวมมีผู้ป่วยสะสม 2,252,776 ราย (เฉพาะตั้งแต่ 1 เม.ย. เป็นต้นมา 2,223,913 ราย) และมีผู้เสียชีวิตอีก 19 ราย เพิ่มขึ้นจากวันก่อน รวมมีผู้เสียชีวิตจากโควิด 19 แล้ว 21,799 ราย (เฉพาะตั้งแต่ 1 เม.ย. เป็นต้นมา 21,705 ราย)
ขณะเดียวกันมีผู้ป่วย รักษาหายกลับบ้านได้ 2,895 ราย เพิ่มขึ้นจากวันก่อน แต่น้อยกว่าผู้ป่วยใหม่ รวมรักษาหายกลับบ้านแล้ว 2,188,397 ราย (เฉพาะตั้งแต่ 1 เม.ย. เป็นต้นมา 2,160,971 ราย) เหลือรักษาตัวใน โรงพยาบาล 42,580 คน
ดูทรงตัวเลขติดเชื้อโควิดวันนี้ 7,526 เขยิบจากเมื่อวาน(6ม.ค.)5,775 และจากเมื่อวานซืน(5ม.ค.)3,899 เหมือนจะเข้าเค้ากับที่ “อาจารย์หมอ”เตือนไว้สามวันก่อนว่าภายในสัปดาห์นี้มีโอกาสได้เห็นการติดเชื้อรายวันหลักหมื่นและจะเป็น2หมื่นในวีคหน้า อันเป็นไปตามสคริปท์ที่ประเมินกันไว้ว่าหลังผู้คนกลับจากปีใหม่7-14 วัน มีโอกาสที่จะเกิดการระบาดเป็นคลัสเตอร์ ที่รอบนี้กลายเป็น จ.ชลบุรี ครองแชมป์ยอดติดรายวันมากสุด แทน กรุงเทพปริมณฑลที่หล่นไปอยู่อันดับ 3 จนทำให้ “หมอหนู”กระทรวงสาธารณสุขมีการสั่ง “หมอหน้างาน”เตรียมพร้อมในที่ตั้ง และมีการเสนอยกระดับมาตรการเป็น ระดับ4 ล้อไปกับ ชุดข้อมูลตัวเลขรายวันที่ออกมาแบบพุ่งวันละ2พันกว่า จนมีเสียงติงจากหลายฝ่ายไม่นับรวมภาคธุรกิจที่คัดค้านหากรัฐจะมาทรงเดิมตคือการ “ล็อกดาวน์”ที่สร้างความเสียหาย
น่าสนใจคือ มีการตั้งข้อสังเกตจากบางฝ่ายว่า มีการการรวมตัวเลขตรวจATK กับตัวเลขตรวจทางการเพื่อให้ยอดสูง เพื่อไหลไปสู่สถานการณ์แพนิกกังวลของผู้คน และนำมาสู่การยกระดับมาตการ และการล็อกดาวน์ ของฝ่ายเกี่ยวข้อง แม้จะมีการยืนยันจาก “หมอสธ.”เมื่อวานรอบนี้จะไม่ถึงขนาดล็อกดาวน์ แต่อาจมีล็อกเฉพาะจุดที่เป็นปัญหา ที่สภาพการที่มีทั้งแพนิกและสับสนว่าต้องเดินไปตาม มาตรการระดับ4 ดังว่าที่กึ่งๆเกือบจะล็อกดาวน์หรือไม่ แบบที่อาจปิดสถานที่เสี่ยงแพร่เชื้อ ชะลอการเดินทาง ทำงานที่บ้าน คุมการเดินทางข้ามจังหวัด การเคลื่อนย้ายคน การจำกัดการรวมกลุ่ม ทำให้วันนี้(7ม.ค.) “นายกฯลุงตู่”ที่ประชุม ศบค.ใหญ่ ต้องยืนยันว่า จะไม่มีล็อกดาวน์ ร้านอาหารนั่งดื่มได้ถึง 3 ทุ่ม ไม่ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด แต่จะขอความร่วมมือเตรียมเพิ่มพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ ขอประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนกยอดผู้ติดเชื้อในไทย สอดคล้องทิศทางการแพร่ระบาดทั่วโลก ข้อมูลเก่า ข้อมูลบิดเบือนสร้างความสับสน ขอติดตามจาก ศบค. – สธ.
กระนั้นสภาพการณ์ ก็ยังไปในทิศทางกังวลและลังเลต่อการรับข้อมูลสื่อสารจาก ศบค. – สธ. อย่างที่เคยมีปัญหาความสับสนในการปฏิบัติ เช่นในครั้งไทยเจอสายพันธ์เดลต้าระบาดจนเจ็บตายจำนวนมาก โดยหนนี้มีความก้ำกึ่งในข้อมูลกับเสียงติง ว่า โอไมครอน ไม่รุนแรงอันตราย ถึงขนาด เดลต้า แต่ก็อย่าประมาทในผู้ป่วยเปราะบางอย่างผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัวที่อาจถึงชีวิต ที่ก็มีคุณหมอหลายท่านอย่าง “อ.หมอนิธิ”ที่ออกมาแนวแนะนำให้ปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิด ที่กำลังกลายเป็นหวัดอ่อนๆเป็นโรคประจำถิ่น เพราะเชื้อลงแค่คอ ไม่ถึงปอด เหมือนเดลต้า
ปรากฎการณ์”โควิดโอไมครอน”ที่กำลังก่อตัวรุนแรงจากตัวเลขที่ปรากฏ ว่าตกลงจะให้ยังไงในความก้ำกึ่งในการจัดสมดุลระหว่าง โรคระบาด กับ เศรษฐกิจ ที่หนนี้มี ปมการเมือง ช่วง “ขาลง”เรตติ้งตกของ “นายกฯลุงตู่” และสัญญานการเปลี่ยนแปลงการเมืองเข้ามาผสมโรงการตั้งข้อสงสัยในความสัมพันธ์การตัดสินใจผ่าน ศบค.ใหญ่ที่ “นายกฯลุงตู่”นั่งหัวโต๊ะ ว่าจะประเมินและตัดสินใจเด็ดขาดจาก ชุดข้อมูลตัวเลข ซึ่งถูกหลายฝ่าย ตั้งข้อสังเกตไปถึงปมผลประโยชน์ปลายทางของบางกลุ่มทุน ที่ส่งมาให้พิจารณาแบบไหน จะถึงขั้นล็อกดาวน์อีกครั้งหรือไม่ และหากล็อกดาวน์จะส่งผลกระทบอย่างไรกับมิติเศรษฐกิจที่เป็นจุดอ่อนคาของ “นายกฯลุงตู่”มาตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศจะครบ8ปี2สมัยในปีนี้
“อดีตกุนซือรองนายกฯ”ไพศาล พืชมงคล” ให้ทัศนะผ่านทางโพสFB เรียกร้องให้ เลิกความคิดปิดประเทศและล็อคดาวน์เพราะไม่ใช่ทางออกจากวิกฤต โดยวิเคราะห์3เหตุผล ว่า
1.โควิดระบาดในไทยมาสองปีแล้วมีผู้ป่วยสองล้านกว่าคนได้รับการรักษาให้หายได้อย่างรวดเร็วเกือบทั้งหมดมีคนตายสองหมื่นคนอยู่ระหว่างรักษาอีกสามหมื่นคนแสดงให้เห็นว่าโรคนี้รักษาให้หายได้ไม่ใช่โรคอันตรายน่ากลัว
2.ในสองปีมานี้เราพูดกันแต่เรื่องล็อคดาวน์ปิดประเทศห้ามทำธุรกิจและสร้างความกลัวจูงใจให้ฉีดยาปรากฎว่าฉีดกี่เข็มก็ตามไขว้หรือไม่ไขว้ก็ตาม ก็ติดเชื้ออยู่ดี จึงไม่ใช่ทางออกจากวิกฤติ เพราะใช้วิธีคิดเช่นนี้ธุรกิจและบ้านเมืองพินาศยับเยินหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึงสองล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นร่วมสี่ล้านล้านบาทเรียกว่าเสียหายทั้งรัฐและประชาชนในขณะที่ข่าวคราวการทุจริตครึกโครมในหลายๆเรื่อง
3.สหรัฐมีผู้ป่วยวันละล้านคนเขาก็ดำเนินธุรกิจกันตามปกติเพราะถือว่าป่วยแล้วก็รักษาให้หายได้และทั่วโลกก็ใช้วิธีการอย่างนี้ส่วนประเทศที่เน้นการใช้ยารักษากลับควบคุมโรคได้อยู่หมัด ดังนั้น ควรจะเลิกความคิดปิดประเทศล็อคดาวน์เรียกหาวัคซีนได้แล้วทั้งประเทศและประชาชนรับไม่ไหวแล้ว.
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews