ลุง 9 เปื้อน-หน้ากากอธิบดี
@ส่งท้ายปีเก่า ปีเสือ 2565 ต้อนรับปีใหม่ ปีกระต่าย 2566 กับ เหตุการณ์ช็อกวงการราชการ และ วงการการเมือง ปม “ล่อซื้อส่วยอธิบดีกรมอุทยาน” “นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” คาชุดราชการ ในห้องทำงาน ท่ามกลางหลักฐานเงินสด 5 ล้าน ที่น่าจะถูกนำไป ขยายผลทางการเมือง ในห้วงเข้าโซนเลือกตั้ง ผ่านเวที “ซักฟอกแบบไม่ลงมติ” ของ “ฝ่ายค้าน” ในสมัยประชุมที่จะถึง และส่งผลต่อ “เรตติ้ง” ของบรรดาผู้เกี่ยวข้องในวงการเมือง โดยเฉพาะที่ถูก “โฟกัส” มากที่สุด นอกจาก “รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง” อย่าง “ท็อป วราวุธ” จาก พรรคชาติไทยพัฒนา คือ “นายกฯลุงตู่” ที่เป็น ทั้ง “ว่าที่ แคนดิเดตนายกฯ” และ “ว่าที่ผู้สมัครเป็นสมาชิกพรรค” รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ผู้ที่เพิ่ง ได้รับฉายาจากสื่อทำเนียบฯว่า “แปดเปื้อน” กับ รัฐบาล “หน้ากากคนดี” ทั้งในมิติ “ผู้นำรัฐบาล” และมิติ ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร กับ “บิ๊กยาว” “พล.อ.ยุวนัฏ สุริยกุล ณ อยุธยา” อดีต สนช. ซึ่งเป็น พี่ชาย “นายรัชฎา”
@โดยประเด็น “ส่วยอธิบดี” ที่ถูกจับตาว่าจะถูก “ขยายผลทางการเมือง” แม้ “นายกฯลุงตู่” และ “รมต.ท็อป วราวุธ” รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ จะเหมือน แอ๊คชั่น แต่ก็แบบ “ปัดออกจากตัว” อย่างที่ “ชูวิทย์” วิจารณ์ เพราะมี ความ เซ้นท์ซิทีฟ กับ “เครดิต” ก่อนเลือกตั้ง อย่างที่ “ลุงตู่” เองเคยเปรยดังกลางวงว่าถูกสื่อทำเนียบฯ “ดิสเครดิต” เรื่องฉายา ยิ่งจังหวะ “เรตติ้งลุงตู่” เพิ่งขยับขึ้นมาพร้อมๆกับ เรตติ้ง พรรค รทสช.ที่ติด “ท็อปไฟว์” หลังแสดงความชัดเจนทางการเมือง กับ วิธีการเดิมที่ทำมา คือ การตั้งกรรมการสอบ และย้ายอธิบดีไปทำงานทำเนียบฯ ที่ท่าทีและวิธีการจัดการดังกล่าว ถูกวิจารณ์ใน “ทางลบ” แบบเริ่มมีการตรวจสอบจับผิด และตั้งข้อสังเกต จากสังคมและจากหลายฝ่าย ทั้งแวดวง NGO ,นักวิชาการ ไม่แต่ ฝ่ายการเมือง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเคลื่อนไหวที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาไล่ “ลุงตู่” อย่าง “ตู่จตุพร-ทนายนกเขา” “อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล” จากธรรมศาสตร์ หรือแม้กระทั่ง “ชูวิทย์” ที่กำลังแฉปม “ขบวนการทุนจีนสีเทาตู้ห่าว” ก็อดไม่ได้ที่จะออกมาจี้ “ลุงตู่” ในปมนี้ โดยตั้งข้อสงสัยมากมาย ว่า ขบวนการส่วยดังกล่าวน่าจะมากกว่า 500 ล้าน ไม่น่าจะสิ้นสุดแค่อธิบดีหากแต่อาจถึง “นักการเมือง” และไม่น่าจะมีแค่กระทรวงเดียว
@เช่นเดียวกับ “อ.ปริญญา” ที่บอกว่า “รัฐมนตรีแค่ ตกใจพอสมควรแต่ ประชาชนตกใจมาก โดยตนได้ยินข่าวมาหลายเดือนแล้วเกี่ยวกับการเรียกเงินแลกตำแหน่งใน กรมอุทยานแห่งชาติ แต่ก็ไม่นึกว่าจะโจ๋งครึ่มถึงขนาดมีซองใส่เงินจากหน่วยในพื้นที่ต่างๆ ของกรมจ่าหน้าถึงอธิบดีอย่างโจ่งแจ้ง และพบเงินสดๆ ที่ไม่ปรากฏที่มาที่ไปในห้องทำงานมากถึง 5 ล้านบาทอย่างนี้ ประเด็นสำคัญ อธิบดีท่านนี้ตอนเข้ารับตำแหน่งได้ประกาศ นโยบายงดรับกระเช้าและของขวัญ หรือ No Gift Policy แต่ในวันที่ถูกจับกุมในห้องทำงานเต็มไปด้วยกระเช้าของขวัญขนาดใหญ่จำนวนมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่เรื่องแค่ “หน้ากากคนดี” การพูดให้ดูดีแล้วทำอีกอย่าง หรือปัญหาตัวบุคคลเท่านั้น แต่เป็น ปัญหาของระบบการป้องกันการคอร์รัปชั่น เพราะ ปปช. ประเมินและให้คะแนนจากกระดาษ มากกว่าให้คะแนนจากการปฏิบัติจริง อย่างการประกาศนโยบายงดรับของขวัญ จะทำให้ได้คะแนนเต็ม 100 ในหัวข้อนี้ ซึ่งอยู่ในด้านการป้องกันการทุจริต ซึ่ง กรมอุทยานแห่งชาติ ได้ คะแนนคุณธรรมและความโปร่งใส ในระดับ A แบบ สูงมาก นี่หมายความว่าวิธีการประเมินและให้คะแนนเรื่องความโปร่งใสของ ปปช. ควรต้องแก้ไขกันใหม่หมด อธิบดีรายนี้ถูกจับได้เพราะโจ่งแจ้งมาก ส่วนที่กระทรวงอื่น กรมอื่นที่ไม่โจ่งแจ้ง กินกันเงียบๆ ไม่ทราบมีอีกเท่าไหร่
@ขณะที่ “ตู่ จตุพร” ตั้งข้อสังเกต คนในกระทรวงทรัพยากรฯ นินทา พฤติกรรมของ “อธิบดีอุทยานฯ” คนนี้อย่างต่อเนื่องแต่ทำไม ปลัด และ รมว.ไม่ได้ยิน และเปรียบเทียบว่ากรณีดังกล่าวเป็นการล่อซื้อหลักฐานชัดเจน หาก ตำรวจค้ายาบ้า ต้องให้ออกจากราชการไว้ก่อน แต่อธิบดีคนนี้ไม่โดนสั่งให้ออก นายกฯ กลับสั่งย้ายให้มาช่วยราชการที่ทำเนียบฯซึ่งเหมือนนำมาใกล้ตัวเพื่อปกป้องที่ต้องระวังว่าจากแปดเปื้อนจะกลายเป็น “เก้าเปื้อน” ทั้งที่แต่ละซองในห้องทำงานเกิน 3,000 บาทท ต้องไม่มีสิทธิในการประกันตัว การ ตั้งกรรมการสอบ สอบเรื่องอะไร ได้อะไรขึ้นมา พร้อม พร้อม ย้อนถึง คดี “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ที่โดนโจรขึ้นบ้านเจอเงินพันล้านร่ำรวยผิดปกติ ยังติดคุก แต่กรณีนี้ชัดเจนกลับมีการประกันตัวและยังไม่มีการจัดการ
@เรียกว่างานนี้หากยังปล่อยทอดยาว “นายกฯลุงตู่” น่าจะ งานเข้าเต็มๆ กับทั้ง บทบาทที่ยังคงเป็น “นายกฯ8ปี” ที่จะไปต่อทางการเมือง กับ “จุดขาย” ที่ถนัดทั้ง “เลือกสงบจบที่ลุง” ผนวกภาพ “นายกฯคนดี” ที่ทำเพื่อบ้านเมือง มี“ความซื่อสัตย์สุจริต”ซึ่งที่ผ่านมามักมีคนแวดล้อมอย่าง “บิ๊กป้อม”และ “นักการเมือง”รับไปกับภาพ ความแปดเปื้อน ในขณะที่ “ลุงตู่” แม้จะเคยโดนตรวจสอบหลายครั้ง ก็หลุดรอดมาตลอด แม้ครั้ง “กบฏผู้กอง” ในสภาที่มีการปล่อยข่าว “ถุงขนม 5 ล้าน” เชื่อมกับภาพทีมงานขนกระเป๋าใหญ่เข้าสภา จนทำให้ “ลุงตู่” กล้าประกาศทุกเวทีว่าตัวเองซื่อสัตย์สุจริต อย่างที่มีการ ประกาศ เจตนารมณ์ ในวันต่อต้านคอร์รัปชันสากลที่ ปปช.จัด (9 ธ.ค.65) ที่ ย้ำว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญให้การแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ ผลักดันให้มีการบรรจุแนวทางการแก้ไขปัญหาการทุจริตไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และแผนการปฏิรูปประเทศ ลงไปถึงการจัดทำแผนระดับรอง เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมเป็นภาพรวมของประเทศแล้ว
@ไม่ว่าจะเป็น 1) พรบ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการฯ 2) นโยบาย National e-Payment ที่ช่วยขจัดโอกาสการทุจริต หักหัวคิว เรียกรับสินบน เพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทำงานของภาครัฐให้สามารถติดตามตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ หรือ TI ได้สะท้อน ปัญหาการทุจริต ที่เป็นจุดอ่อนของประเทศไทยที่สำคัญ คือ ปัญหาการซื้อขายตำแหน่ง การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การเรียกรับสินบน การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อกัน ไม่สามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนรวมกับประโยชน์ส่วนตน และความไม่โปร่งใสในการใช้งบประมาณ ซึ่งจากปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าการทุจริตเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ทั้งการบริหารจัดการภาครัฐ การพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการทำลายภาพลักษณ์ ทำลายความเชื่อมั่นในสายตาประชาชนชาวไทยและชาวโลก ซึ่งทุกคนจะต้องไม่ยอมให้การทุจริตเป็นมรดกบาปตกทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานอีกต่อไป โดย “ลุงตู่” วันนั้นยังย้ำ เท่ๆตอนท้ายด้วย ว่า “ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความไม่ยุติธรรม”.
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews