ทีนี้ก็ว้าวุ่นเลย..กับ นโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัล ซึ่งกำลังบานปลายขยายวง ทั้งที่เป็นนโยบาย “เรือธง” ของ พรรคเพื่อไทย “เศรษฐา” หาเสียงไว้ ที่แม้จะ “พับเก็บ” ไปช่วงที่ ร่วมตั้งรัฐบาลนำโดยก้าวไกล ฝ่ายประชาธิปไตย แต่ก็จำต้องมาปัดฝุ่น บรรจุเป็นนโยบายแถลงต่อรัฐสภาของ “รัฐบาลเศรษฐา”
ที่เท่ากับผูกพันต้องมีการดำเนินการ อย่างที่ “อู้ดด้า-จุรินทร์” ฝ่ายค้านจากประชาธิปัตย์ เมื่อวาน (12 ต.ค.) ได้ทีรีบโดด “ล็อคคอ” เพื่อไทยหาเสียงไว้ต้องทำต่อ พร้อมหยิบ ภาพหลอนก่อนนอน มาเตือนอย่าทำซ้ำรอย “โครงการรับจำนำข้าว” รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที รัฐมนตรีต้องิดคุก แต่ใหญ่ไปกว่านั้นยังลอยนวล แม้ยังเป็นคดีที่ยังไม่จบ
ในขณะ ยังคงมีเสียงท้วงติงดังๆจากทั้งแวดวงนักเศรษฐศาสตร์การเงิน นักวิชาการ อดีตผู้ว่าแบงค์ชาติและ อดีต “ขุนคลัง”หลายท่าน รวมถึงล่าสุดการออกมา “กระตุกแรงๆ”จาก ปปช.และ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน”ซึ่งรับเรื่องที่“นางวิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ”ไปยื่นร้องให้ตรวจสอบโครงการนี้อาจขัดรธน.และกม.วินัยการเงินการคลัง (7 ต.ค.) กับผู้ตรวจการแผ่นดินที่ ประธาน ”สมศักดิ์” บอกว่ารับเรื่องไว้แล้วอยู่ในขั้นแสวงหาข้อเท็จจริง
เพราะรัฐบาลยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายและแนวปฏิบัติเมื่อมีความชัดเจนแล้วผู้ตรวจฯ จะนำมาพิจารณา ให้ความเห็น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเห็น นำมาเทียบกับหลักกฎหมาย หากเข้าเงื่อนไขที่สามารถส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองก็จะดำเนินการต่อ แต่ขณะนี้ต้องขอดูข้อเท็จจริงความชัดเจนก่อน
เพื่อพิจารณาว่าขัดหรือไม่ขัดต่อกฎหมาย เช่นเดียวกับ ปปช.ที่ “เลขา ปปช.” ก็ออกมาส่งสัญญานเช่นกันว่า ปปช.สนใจเรื่องนี้ และกำลังตั้ง อนุกรรมการติดตามโคงการนี้ โดยยกเคส “จำนำข้าว” มา “เปรียบเทียบ” พร้อมคาดโทษเตือนตรงๆ หาก ปปช.มีข้อเสนอท้วงติงไปแล้ว ครม.ไม่ปฏิบัติตามจนเกิดความเสียหายขึ้นมาถือว่า ได้เตือนแล้วแต่ไม่รับฟังเมื่อเกิดปัญหาขึ้นมาต้องรับผิดชอบ
ขณะอีกด้านก็เริ่มเห็นอาการรนๆจาก ข้าราชการ ฝ่ายปฏิบัติ อย่างที่มีการหลุดแพลมออกมาจากผู้บริหารในสถาบันวิจัยเศรษฐกิจการคลัง ถึงแผนการหาเงินมาใช้จ่าย ทำนอง นอกจากแผนยืมงบฯธนาคารรัฐมาใช้บางส่วน จัดเก็บรายได้
เกินเป้ามาเติม ยังยกตัวอย่างในต่างประเทศ “ตัดขายหุ้นรัฐวิสาหกิจ” บางส่วนมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจแม้ออกตัวว่าเป็นแนวทางตามหลักวิชาการ จนเกิดอาการกระเพื่อมภาพหลอนยุคแนวทางการ “แปรรูปรัฐวิสาหกิจ”สมัย “รัฐบาลทักษิณ”
กระทั่งต้องรีบออกมาแก้ข่าว พร้อมๆกับสัญญาน “รับฟัง” กระแสสังคมีที่จะปรับเรื่องการ “แจกแบบเหวี่ยงแห”เป็นเลือกผู้ที่เดือดร้อน
ทำให้เมื่อวาน (12 ต.ค.) “หมอมิ้ง” ต้องรีบออกมาอธิบายมากขึ้น แพลมออกมาอีกนิด แต่ก็ยังไม่ถึงขนานดชัดถึง “แหล่งเงิน”และภาระหนี้ หรือการคาดการณ์ผลสัมฤทธิ์เชิงประจักษ์ โดยบอกว่ามี 3 ทางเลือกแหล่งที่มางบฯ ทั้งการ
บริหารจัดการงบฯปี 67 หั่นงบฯไม่จำเป็น เลื่อนหรือชะลอจัดซื้อบิ๊กโปรเจกต์ และการใช้เงินนอกงบประมาณ 2-3 แสนล้านบาท ขยายเพดานหนี้ ใช้เงินหน่วยงานรัฐก่อนตั้งงบฯจ่ายคืน และรัฐบาลกู้โดยตรง แต่ก็ “มีแผนรองรับ”ใช้หนี้ปีละแสนล้านหมดใน 3 ปี
กระนั้นในด้านภาพการเมือง ก็ยังมี “ติ่ง”นิดนึงจากการออกมาของ “ภูมิธรรม” ที่ยืนยันรัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้ที่วันก่อน(8ต.ค.)มีการทวีตข้อความทำนองยกการกู้แจกสมัย “ลุงตู่” มาเป็นข้อเปรียบเทียบ ที่ว่า “Digital wallet คนอายุ16ปีขึ้ไปได้10,000บาท/คน เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญ 9 ปีที่ “รัฐบาลประยุทธ์” ใช้เงินหลายแสนล้านสร้างหนี้ให้กับประเทศ แต่ไม่มีนักวิชาการ และคนแบงค์ชาติออกมาติง เราจะให้โอกาสคนไทยทุกระดับนำเงินไปเพิ่มกำลังซื้อและสร้างอาชีพ สร้างรายได้เพื่อกู้วิกฤติ ทำไมยากจัง..”
ที่ก็ร้อนถึง “อ.สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีตกมธ.งบปี 66 และอดีต กกต.ที่ออกมาโพส FB วันนี้ (13 ต.ค.)ว่าตรรกะที่ว่า ทำไม “ลุงตู่” แจกเงินไม่ผิด ต้องย้อนดูว่า ฝ่ายกฎหมายฝีมือต่างกันไหม มีคนถามว่าที ”ลุงตู่” กู้เงินเป็นล้านล้านบาทมาทั้งแจกทั้งแถมในช่วงโควิด ทำไมไม่ผิด ทีจำนำข้าว ดันมีคนเจ้าคุก จะแจกเงินดิจิทัล ก็ขู่เอาขู่เอา คำตอบ คือ เหตุผลความจำเป็นและกระบวนการทางกฎหมายแตกต่างกัน 1. การใช้เงินของ ”ลุงตุ่” อยู่ในกรอบของกฎหมาย เป็นไปตาม พรบ. งบประมาณที่ผ่านสภาไม่ว่า จะเป็นสภานิติบัญญัติ หรือ รัฐสภา 2. กรณีกู้เงิน เป็น การออก พรก.โดยอ้างเหตุฉุกเฉิน โควิด
แถมทุกครั้งหาจังหวะออกในเวลาปิดสภา แล้วค่อยมาผ่านสภาภายหลัง ตามรธน. 3. การดำเนินการ อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง เวลาจะเกินกรอบ ก็มาขอมติคณะกรรมการวินัยการเงินการคลังของรัฐ ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน 4. ปัญหาการทุจริตแม้จะมี ก็เป็นในระดับปฏิบัติเช่น กรณีการจำหน่ายสินค้าของร้านธงฟ้า และแก้ไขกันไป แต่ไม่ใช่ในระดับนโยบาย ไม่มีเงินทอนให้จับได้ จึงยังไม่มี รมต.คนไหนติดคุกอย่ายกตัวอย่างรัฐบาลชุดเก่าทำไมเขาแจกเงินได้ ทุกอย่างล้วนต่างกัน และอย่าคิดว่าที่ปรึกษา กม. เก่ง เพราะที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า “เทพ” ต่างจาก ”ถุง.”
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews