ไม่แต่ “นายกเศรษฐา”ที่ต้องออกมาอธิบายย้ำแล้วย้ำอีกถึงการทำโครงการ “แจกเงินดิจิทัลวอเล็ต”ประหนึ่งจะบอกว่าขอย้ำเป็นครั้งที่500 เพื่อให้ประชาชนมั่นใจ คล้ายเหมือนที่ “หมอชลน่าน”เคยยืนยันเพื่อไทยจะจับมือกับก้าวไกลตั้งรัฐบาล พรรคฝ่ายประชาธิปไตย ไม่เอาลุง และที่สุดก็จบลงที่การ “พลิกขั้วเปลี่ยนข้าง”
มาอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาลของ “2ลุง”รวมถึง“พรรคหนู-ภูมิใจไทย”ทั้งที่เคยหาเสียงในธีม “ไล่หนูตีงูเห่า”ด้วยข้อเหตุข้อผล คือ“มันคือเทคนิคการหาเสียง” โดยวันนี้(16พ.ย.)แม้ตัวอยู่ไกลถึงซานฟานซิสโก แต่ก็ตั้งต้องสปีกกิ้งตอบโต้เสียงวิจารณ์ด้อยค่าโครงการนี้ที่ไม่ตรงปกกับที่หาเสียงไว้และทำท่าว่าจะจบที่มันเป็นเทคนิค
หาเสียงอย่างเคย ว่า ขออย่าวิพากษ์วิจารณ์ โดยยืนยนัว่าจะพยายามปรับปรุงจากข้อเสนอแนะทุกภาคส่วนขออย่าเอาความคิดเห็นส่วนตัวมาพูดต่างคนต่างทำงาน หากเรายึดมั่นกับสิ่งที่พูดไปโดยไม่ฟังความคิดเห็นก็จะโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ต้องปรับปรุงแต่งเติมบ้างตามข้อคิดเห็น
หรือข้อเสนอแนะของทุกภาคส่วน และไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ พยายามรับฟังอยู่ วันนี้ก็รับฟัง อะไรที่ไม่ก้าวร้าวก็ไม่พร้อมจะรับฟัง
เรียกว่านอกจากจะขอร้องให้อย่าเพิ่งวิจารณ์เหมือนด้อยค่าโครงการนี้แล้ว “เศรษฐา”ยังคงตอบย้ำในข้อสงสัยปมกู้มาแจก รวมถึงการทำเป็น พรบ.กู้เงินที่ย้อนแย้งกับข้ออ้างความจำเป็นเร่งด่วนกับภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ถูกมองว่า“ไส้ใน”ยังมีความไม่ชัดเจนไม่แต่ “แหล่งที่มาของเงินกู้” หรือ นิยามของภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ที่หลายฝ่ายเริ่มออกมา “จับโป๊ะ”ไม่แต่ฉากที่วันนี้ รายการ “สรยุทธ์”มีการนำ“ไหม-ศิริกัญญา”จากก้าวไกลมาซักค้าน“หมอเลี๊ยบ”
ที่นอกจากจะตอบรายละเอียดไม่ได้ว่าจะกู้จากที่ไหนยังไง ยังมีช็อตหลุด “ข้อมูลใหม่” ว่า จะมีการกู้ไม่แต่แหล่งเงินกู้ในประเทศตามมาตรา53 แต่ยังมีกู้จาก ต่างประเทศ ตามมาตรา 56 บานไปเข้าเงี่ยงกฎหมายการกู้เงินจากตั้ง ประเทศที่โครงการต้องมีความชัดเจนและมีความจำเป็นเร่งด่วนแต่ไม่ถึงขนาดวิกฤติ
ขณะเดียวกันก็ยังมีหลายฝ่ายทางการเมืองออกมาวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่นายกฯพยายามอธิบาย ไม่ว่าจะเป็น“อ.สมชัย ศรีสุทธิยากร”ที่ปรึกษา กมธ. ติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ที่โพสต์FB อธิบายว่า ประเทศไทย มีวิกฤติด้านเศรษฐกิจจริงหรือไม่ ว่า การยกประเด็นค่าเฉลี่ยการเพิ่ม GDP. ในรอบ 10 ปี ต่ำเตี้ย และ ตัวเลขการเติบโต
ล่าสุดต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการพูดแบบปิดตาข้างหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงคือประเทศเหล่านี้มีขนาดวอลุ่มGDPน้อยกว่าไทย ในขณะที่หากเปรียบในเรื่องขนาด (Volume) ของ GDP. ทำไมไม่ยกว่า เราเป็นที่สองของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย แต่พูดว่า วิกฤตเพื่อหาความชอบธรรมในการกู้เงินมาแจก ไปรออธิบายความหมายกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น กกต. ปปช. คตง. ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วเขาจะเป็นคนบอกเองว่า วิกฤตหรือไม่ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ตามที่นายกรัฐมนตรีพูดแหละครับ
ขณะที่ “เกียรติ สิทธีอมร” คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ชี้เป้าว่า การที่ทั้ง “หมอมิ้ง”และ “จุลพันธ์”เลขานายกฯและรมช.คลัง บอกว่า หาก พ.ร.บ.เงินกู้ไม่ผ่าน ยังไม่มีแผนสำรอง แต่ “นายกฯนิด” กลับบอกว่ามีแผนสำรองแต่ยังไม่บอก สะท้อนว่าการให้ข้อมูลของนายกฯ และคนใน ครม. ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน กระทบต่อความน่าเชื่อถือและว่า แม้การออกพรบ.กู้ ต้องเข้าข่ายกรณีจำเป็นเร่งด่วน เมื่อมีวิกฤติ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง เป็นเงื่อนไขที่ระบุไว้ชัดเจนใน
พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ดังนั้น รัฐบาลต้องชี้แจงในสภาให้ชัดเจนว่าประเทศมีวิกฤติเศรษฐกิจอย่างไร และเหตุใดออกเป็นพ.ร.บ.งบประมาณประจำปีไม่ได้ เพราะการจะออกเป็น พ.ร.บ.เงินกู้ ต้องพิจารณาในเงื่อนไขของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ต้องเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วน ไม่สามารถใช้จ่ายงบประมาณประจำปีได้ นอกจากนี้ยังมี ม. 57
ซึ่งผูกโยงไปถึงม. 53 และม. 56ที่ระบุว่า การกู้เงินจะทำได้เฉพาะ เพื่อใช้จ่ายตามแผนงานหรือโครงการที่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ หรือสังคมเท่านั้น ดังนั้น การพิจารณา พ.ร.บ.เงินกู้ จะผ่านหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคำชี้แจงของรัฐบาล แต่จนถึงวันนี้ยังคงเป็นคำถามเดิม ที่มีตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งแล้ว และรัฐบาลก็ยังมีคำตอบที่ไม่ชัดเจน.
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews