จับสัญญาณความมั่งคั่ง “ราคาทองโลก” เชื่อม “ราคาทองไทย” หลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ครั้งแรกในรอบ 4 ปี และยังส่งสัญญาณลดอีก 0.50% ในช่วงที่เหลือของปีนี้
เกมนี้นักลงทุนจะต้องวางกลยุทธ์การลงทุนอย่างไรเพื่อต่อยอดสู่ความมั่งคั่ง สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.มีคำตอบ นั่นเพราะในห้วงจังหวะที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายสัปดาห์ ราคาทองโลก หรือ Gold Spot พุ่งทำนิวไฮ ล่าสุด 21 กันยายนปิดสูงสุด 2,621 เหรียญ ขณะที่ราคาทองไทยก็ปรับขึ้นเช่นกัน
ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 40,700 บาท ขายออกบาทละ 40,800 บาท
ทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 39,961 บาท 76 สต. ขายออกบาทละ 41,300 บาท
โดย “น.พ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก กล่าวกับ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถึงกลยุทธ์การลงทุนทองหลังธนาคารกลางสหรัฐลดอัตราดอกเบี้ย ว่า ณ เวลานี้ต้องติดตามท่าทีของเฟดอย่างใกล้ชิด เพราะในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ถือเป็นปฏิบัติการที่รวดเร็วและส่งผลต่อราคาทองค่อนข้างมาก
“ตอนนี้ก็เป็นขั้นตอนที่เราจะต้องติดตามไปเรื่อยๆ แล้วนะครับเพราะว่าเฟดก็ปฏิบัติการค่อนข้างรวดเร็วตามที่เราคาดไว้ ดังนั้นในช่วงถัดไปก็น่าจะเป็นเรื่องของการติดตามใกล้ชิดเพราะว่าราคาน่าจะเป็นลักษณะของการเหวี่ยงตัวขึ้น แล้วก็จะมีการทำกำไรเป็นช่วงๆเช่นเดิมตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนคงจะต้องติดตาม เพราะว่าการลดดอกเบี้ยของเฟดก็น่าจะมีต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี”
“น.พ.กฤชรัตน์” กล่าวด้วยว่า ทุกครั้งที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ย นำสู่การปรับขึ้นของราคาทอง ซึ่งในการประชุมของเฟดครั้งต่อไปคือช่วงเดือนพฤศจิกายนคาดว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง
“การประชุมของเฟดครั้งหน้าก็จะเดือนพฤศจิกายน ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า เราคาดว่าการลดดอกเบี้ยก็จะมีอีก อาจจะครั้งละ 0.25 หรือ 0.5 ก็ได้ แต่ทุกครั้งของการลดดอกเบี้ย จะนำมาสู่การปรับขึ้นของราคาทองคำ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์น่าจะอ่อนค่าลง ตรงนี้ก็จะเป็นเรื่องที่คงจะต้องติดตามกันอยู่เรื่อยๅว่าเฟดจะเอาอย่างไรต่อไปในอนาคตในระยะยาวๆเลย”
และเมื่อถามประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก ถึงกลยุทธ์การลงทุนทองคำ ควรจะเข้าซื้อในช่วงจังหวะใด คำตอบที่ได้น่าสนใจ
“ทองมันทำให้ All-time high ทะลุทุกแนวต้าน ฉะนั้นโฟกัสต่อไปก็คือมันจะขึ้นไปถึงไหน แล้วจะขึ้นเท่าไร แล้วนักลงทุนจะทำอย่างไร ซึ่งบอกว่าทุกอย่างเนี่ยต้องติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจกับแนวคิดของเฟดอย่างใกล้ชิด เพราะว่าทุกเรื่องก็จะเป็นเรื่องของการปรับคิดตามสภาวะเศรษฐกิจและ CPI ที่ออกมา
ดังนั้นต้องบอกว่าโฟกัสต่อไปน่าจะมองไปที่ 2,650 เหรียญ หลังจากที่ทะลุ 2,600 มาได้อย่างรวดเร็ว ณ ขนาดนี้เพราะฉะนั้นในเชิงของการลงทุน ก็เพียงแต่ย้ำว่า ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวบริเวณแนวรับ 2,580 แล้วก็ขายเมื่อราคาดีดตัวสูงขึ้น ณ ขนาดนี้ให้ขายทำกำไรเป็นช่วงๆ แนวต้านระยะสั้นที่น่าจะขายทำกำไรก็บริเวณแถวๆ นี้ 2,615 ถึง 2,620 ผมเชื่อว่าแถวนี้น่าจะขายทำกำไรไปก่อน แล้วก็เข้าซื้อเมื่อเวลาราคาอ่อนตัว”
ขณะที่ “นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า ภายในปีนี้ทองคำมีโอกาสทำจุดสูงใหม่ โดยวายแอลจี มองราคาเป้าหมายใหม่ที่ 2,650-2,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ เนื่องจากการเข้าสู่วงจรดอกเบี้ยขาลงไปอีก 2 ปีของเฟด จะเป็นปัจจัยหนุนหลักในระยะยาวต่อราคาทองคำ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกด้านอื่นๆ ที่แข็งแกร่ง เช่น ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาตร์ ที่ยังสร้างความกังกลในหลายพื้นที่ และการกลับเข้ามาซื้อทองคำ 4 เดือนต่อเนื่อง ของกองทุน ETF ทองคำ ตั้งแต่เดือน พ.ค. – ส.ค. ก็เป็นปัจจัยผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้น รวมถึงธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงเดินหน้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จนช่วงครึ่งปี 2567 ได้เข้าซื้อทองคำรวม 483.3 ตัน สูงสุดในประวัติศาสตร์ครึ่งปีแรกอีกด้วย
สำหรับราคาทองคำในประเทศในช่วงนี้แม้ว่าจะได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาท ที่แข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งทุกครั้งที่ค่าเงินบาทแข็งค่า 10 สตางค์ จะทำให้ราคาทองคำปรับลดลงมาราว 90-120 บาทต่อบาททองคำ ทุกครั้งที่เงินบาทแข็งค่าจึงกดดันให้ราคาทองคำในประเทศปรับลดลง อย่างไรก็ตามทองคำมีโอกาสที่ทองคำจะไปถึง 41,800 บาทต่อบาททองคำ และเป้าหมายถัดไปที่โซน 42,600-43,000 บาทต่อบาททองคำ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews