นายกฯอิ๊งค์ เหนื่อยแน่นอน งานท้าทายมาก เข็น GDP
เปิดโรดแมปรัฐบาล “อิ๊งค์” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ผ่านมุมมองอดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน “ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์” หลังจากที่กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 2%
เพราะ “จีดีพี” ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนถึงฝีไม้ลายมือในการบริหารประเทศ
โดย “ศ.ดร.พรายพล” กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า รัฐบาลต้องออกแรงมาก ถ้าต้องการให้ตัวเลขจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ 3.5% ซึ่งตัวเลขการส่งออก การท่องเที่ยว รวมทั้งการลงทุนจากต่างประเทศจะต้องออกมาเป็นบวกค่อนข้างมาก
“ถ้าจะให้ผลักไปถึง 3.5 นี่ก็คงต้องออกแรงเยอะเลย รัฐบาลคงไม่ได้ออกแรงได้แต่เพียงอย่างเดียว สภาพเศรษฐกิจโลก เรื่องของตัวเลขการท่องเที่ยว เรื่องของการส่งออก เรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศก็จะต้องเป็นบวกค่อนข้างมากสำหรับประเทศไทย ซึ่งมอง ณ ขนาดนี้ก็ยังถือว่าเป็นไปได้ยากพอสมควร”
“ศ.ดร.พรายพล” กล่าวอีกว่า ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีนโยบายพิเศษทางเศรษฐกิจออกมาเพื่อที่จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ตามเป้า
“ถ้าจะทำให้จริงๆ ก็ต้องเหนื่อยพอสมควร ซึ่งอาจจะต้องมีนโยบายพิเศษอะไรออกมา ซึ่งผมก็ยังนึกไม่ออกแต่ว่ามันต้องมีอะไรที่เรียกว่าเด่นๆ จริงๆซึ่งผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขึ้นไปสูงเกินระดับ 3% ได้ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายว่างั้นดีกว่า อย่าเรียกว่าเหนื่อย ก็เหนื่อยแน่นอน แต่ว่าท้าทาย น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมกว่า เพราะว่ามันเป็นท้าทายทั้งในเรื่องของสภาพโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในตัวของเราเอง ท้าทายในเรื่องของความที่เกิดจากเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายของทรัมป์นี่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับโลกไม่ใช่แค่สำหรับประเทศไทยเพียงอย่างเดียว”
ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเป็นการหารือเกี่ยวกับมาตรการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังจากนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการว่าต้องการเห็นเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ของรัฐบาลในเชิงรุก ที่ 3-3.5%
ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวว่า อาจต้องมีการจัดทำเป็น Master Plan ใหญ่ว่า จะมีแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในส่วนใดบ้าง เพื่อให้ได้ผลที่แท้จริง และเป็นแผนขับเคลื่อนที่สามารถจับต้องได้ โดยเน้นไปที่จุดแข็งของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และถือว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรตัวที่ 1 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะที่ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ได้วิเคราะห์ กรณีที่กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนยโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.0% ด้วยปัจจัยหลักๆ จากในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ แม้อุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าขยายตัวดี
ทั้งนี้ มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิมที่ 2.9% จากภาคการผลิต อุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากสงครามการค้า โดยคาดว่า GDP ของไทยจะปรับมาอยู่ที่สูงกว่า 2.5% เล็กน้อย
อย่างไรตาม หากพิจารณาจากข้อมูลนับตั้งแต่ปี 2007 กนง. มีการ “เซอร์ไพร์สปรับลดดอกเบี้ย” มาแล้ว 11 ครั้ง โดยในวันที่ลงมติ จะหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.78% ก่อนที่จะเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางในช่วงสั้น ขณะที่ภาพระยะถัดไป “กรณีเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้จริง” หรือ GDP เติบโตสูงขึ้น มักจะหนุนให้ SET Index ดีดตัวขึ้นต่อได้ สังเกตุ จากผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยหลังจาก กนง. เซอร์ไพร์สปรับลดดอกเบี้ย 90 วันเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.77% แต่ในทางกลับกัน “กรณีเศรษฐกิจเติบโตต่ำ” อาจกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews