“อิ๊งค์” ประกาศิต
ถือเป็นคำประกาศศิตของ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร ที่ต้องการให้เศรษฐกิจไทยในปี 2568 โตมากกว่า 3% เพราะนี่คือหนึ่งในดัชนีชี้วัด “ฝีมือ” ในการบริหารประเทศ
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง โดยเหล่าบรรดาขุนพลรัฐมนตรีก็ได้ออกมาประกาศแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินหน้าแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตการเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อให้จีดีพีโตมากกว่า 3%
สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ “ดร. สมชัย จิตสุชน” ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ทำงานร่วมกับภาครัฐในหลากหลายฐานะ เช่นเป็น กรรมการนโยบายการเงิน ถึงมุมมองความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้มากกว่า 3% โดย “ดร.สมชัย” กล่าวว่า เป็นไปได้ แต่ก็มีโอกาสน้อย
“โอกาสมี แต่ไม่น่าสูง เพราะ 1. ปัญหาเชิงโครงสร้างก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขไม่มีนโยบายอะไรเด่นๆ ออกมาเลยที่จะแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความสามารถในการแข่งขันเรื่องของการ Upskill หรือ Reskill คุณภาพของแรงงานไทย เรื่องของโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตรงนี้ไม่ค่อยได้รับการแก้ไข ก็จะเป็นเรื่องของ บีโอไอ ที่เข้ามา แต่ตัวเลขบีโอไอที่นายกฯ พูดถึง หรือรัฐบาลพูดถึง ดูปีไหนก็สูงขึ้นทุกที แต่ถึงเวลาจริงๆก็ไม่ได้ก่อให้เกิดเรื่องของการลงทุนหรือการจ้างงานอย่างจริงจัง เท่าที่เห็นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแต่ละปี ก็มีมายื่น แต่ก็ลังเลว่าจะมาจริงไหมหรือมาแล้ว ก็อาจจะไม่ได้เป็นการจ้างงานคนไทยสักเท่าไหร่”
“ดร. สมชัย” กล่าวอีกว่า วันนี้รัฐบาลมีเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลงแล้ว เพราะติดปัญหาเรื่องเงินคงคลัง ขณะที่การแจกเงิน 1 หมื่นบาทในเฟสแรก ก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจมากเท่าไรนักทั้ง ๆ ที่แจกให้กับประชาชนรากฐานเป็นส่วนใหญ่
“รัฐบาลมีเม็ดเงิน ในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลงแล้ว เพราะติดเรื่องของการคลัง อย่างปีที่แล้วยังมีเรื่องของดิจิทัล วอลเล็ตเฟสหนึ่ง แสนกว่าล้าน ปีนี้เค้าคงหาเงินใหญ่ขนาดนั้นหายากแล้ว ซึ่งในเฟสหนึ่งที่แจกไป แสนสี่ แสนห้า ซึ่งก็ให้กับรากหญ้าด้วยนะ ให้กับผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้เงินแล้วจ่ายเร็ว แต่พิสูจน์แล้วว่าจีดีพีขยับขึ้นน้อยมาก เพราะฉะนั้นไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ส่วนปีนี้เฟสสาม ก็แค่ 2 หมื่นล้าน ไซส์ก็เล็กกว่ากันเยอะ ซึ่งก็เป็นกลุ่มถ้าเทียบกับรากหญ้าแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจเบากว่าอยู่แล้วเพราะฉะนั้นผมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรมาก”
ขณะที่ “นายธนวรรธน์ พลวิชัย” อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า และค่าครองชีพสูง ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
ซึ่งผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2568 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ยังมองว่า ผู้บริโภคอาจเริ่มมีความเชื่อมั่นลดลงได้อีกในอนาคตหากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ด้านฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไปยังต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะผลกระทบ TRADE WAR ต่อภาคการส่งออก และอาจลามไปถึงการบริโภค และการจ้างงานได้
จากนี้ต่อไปจะต้องจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด หลังจากบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจเคาะแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 กลุ่มอายุ16-20 ปีราว 2.7 ล้านคน วงเงิน 27,000 ล้านบาท เพราะนี่คืออีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยที่เชื่อมโยงกับความเชื่อมั่นและคะแนนนิยมของตัว “นายกฯอิ๊งค์”นั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews