รัฐบาลอิ๊งค์ มีดีต้องอวด
ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของรัฐบาลในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ โดย รัฐมนตรีฯพิชัย นริพทะพันธุ์ ได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขส่งออกไทยเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ขยายตัว 14%
พร้อมชี้ชัดว่าตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร”เข้ามาบริหารประเทศการส่งออกไทยเติบโตต่อเนื่อง โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 11.8% โดยเดือนตุลาคม 2567 ขยายตัว 14.6% เดือนพฤศจิกายน ขยายตัว 8.2% เดือนธันวาคม ขยายตัว 8.7% เดือนมกราคม 2568 ขยายตัว 13.6% และเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ขยายตัว 14%
ทั้งนี้ สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ “ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์” นักวิชาการอิสระ และอดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ถึงภาพรวมการส่งออกและความท้าทายในประเด็นดังกล่าว โดย “ศ.ดร.พรายพล” กล่าวว่า ความท้าทายของการส่งออกไทยในปีนี้ก็คือสงครามการค้า รวมทั้งการถูกจับตาจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะประเด็นที่ประเทศไทยได้ดุลการค้า
“ในแง่การส่งออก ไทยก็ทำได้ดีมาโดยตลอด ยกเว้นตอนโควิด และหลังโควิดค่อยๆฟื้นมา แต่ว่าสำหรับปีนี้ โดยเฉพาะผมคิดว่าสิ่งที่ท้าทายมากที่สุดก็คือ
สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศอื่นๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ไม่แน่ไม่นอนในเรื่องการตั้งภาษี ไม่ตั้งภาษี เก็บคนนี้ ไม่เก็บคนนั้น อะไรต่างๆพวกนี้เราก็ยังไม่แน่ใจว่าเราจะโดนลูกหลงบ้างหรือเปล่า เพราะว่าอย่าลืมว่าเราติดอันดับ10 กว่าของประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯอยู่ ถึงแม้ว่าจำนวนปริมาณเงินอาจจะไม่สูงนัก แต่ว่าก็อยู่ในข่ายที่ ว่าเค้าอาจจะจ้องที่จะกีดกันเรา ผมว่าเป็นสิ่งที่ท้าทาย มากที่สุดสำหรับปีนี้”
ทั้งนี้ “ศ.ดร.พรายพล” ยังได้แนะให้จับตาเดือนเมษายน 2568 ซี่งเป็นเดือนที่สหรัฐฯ จะบังคับใช้ภาษีตอบโต้ทุกประเทศ ซึ่งก็อาจจะมีประเทศไทยติดอยู่ด้วย
“ก็ต้องรอดู เพราะว่าเดือนเมษายนจะเป็นเดือนที่ทรัมป์เริ่มที่จะตั้งภาษีขาเข้ากับประเทศนอกเหนือไปจากแคนาดา เม็กซิโก จีนแล้วก็สหภาพยุโรป ดังนั้นถ้าเขามองกวาดไปข้างนอกแล้วก็เห็นว่าหลายประเทศยังได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯอยู่ เขาก็อาจตั้งภาษีเก็บจากสินค้าที่ส่งออกจากเรา ก็เป็นไปได้ ก็เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงเพราะว่า ตลาดสหรัฐถือเป็นตลาดใหญ่ อาจไม่ได้ใหญ่ที่สุด แต่ก็ค่อนข้างใหญ่สำคัญกับประเทศไทย”
อย่างไรก็ตาม “ศ.ดร.พรายพล” ยังได้ให้คำแนะนำไปยังรัฐบาลเพื่อที่จะแก้ปัญหาดุลการค้ากับสหรัฐฯ โดยระบุว่า รัฐบาลจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเพิ่มขึ้น เพื่อให้เห็นว่าไทยพยายามที่จะไม่เกินดุลมากเกินไป
“ต้องมีแผนที่จะต้อง นำเข้าสินค้าจากสหรัฐ คล้ายๆกับว่าแสดงท่าทีว่าเราพยายามที่จะไม่เกินดุลเขามากจนเกินไปเพราะเห็นว่าสินค้าหลายอย่างเราสามารถที่จะนำเข้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทพลังงานเป็นต้น เพราะว่าสินค้าพลังงานเป็นสินค้าที่สหรัฐฯเริ่มส่งออกมากขึ้น”
ขณะที่ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย ระบุว่า สหรัฐฯ จะมีการบังคับใช้ภาษีตอบโต้จากทุกประเทศในวันที่ 2 เม.ย. 68 โดยสภาหอการค้าไทยฯ คาดว่า สหรัฐฯ จะพิจารณาเป็นรายประเทศที่มีการเกินดุลการค้าสหรัฐฯ พร้อมประเมินว่าจะมีราว50 ประเทศ และอาจมีไทยติดอยู่ด้วย เนื่องจากไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากขึ้น โดยในปี 2017 อยู่ลำดับที่ 14 มูลค่า 2.01 หมื่นล้านเหรียญฯ ส่วนปี 2024 อยู่ลำดับที่ 11 มูลค่า 4.56 หมื่นล้านเหรียญฯ)
นอกจากนี้ ไทยยังเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราที่สูงกว่า โดยล่าสุดรายงานของ USTR เผยอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐที่อยู่ระดับสูง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร ซึ่งของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 27% และสินค้าอื่นๆ เฉลี่ยอยู่ที่ 7.1%เทียบกับของสหรัฐในด้านสินค้าเกษตรอยู่ที่ 5% ส่วนสินค้าอื่นๆ เฉลี่ยอยู่ที่ 3.1% ขณะที่อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของสินค้าทั้งหมดอยู่ที่ 9.8% ซึ่งสูงกว่าสหรัฐฯ เกือบ 3 เท่า
และเนื่องด้วยไทยพึ่งส่งออกสูง โดยคิดเป็นสัดส่วน 64% ของ GDP และส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 17% ทำให้ “เศรษฐกิจไทย” มีความเสี่ยงมากขึ้น ในการหลีกเลี่ยงแรงกระแทกของTRADE WAR 2
สำหรับผลกระทบสงครามของการค้าต่อเศรษฐกิจไทย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่ามาตรการภาษีของรัฐบาล TRUMP 2.0 จะมีผลทำให้มูลค่าการส่งออกของไทยลดลงราว 56,067 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว ลบ 0.30% ของ GDP นั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews