แผนส่ง“โควิด”กลับบ้าน
ในขณะศึก“สงครามโควิด”ยังทำให้คนไทย“แพนิก”กับภัยใกล้ตัวที่พร้อมโจมตีครอบครัวคนที่รักได้ทุกเมื่อแม้จะWFH อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติก็แล้ว การล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว จนครบ14วันไปตั้งแต่เมื่อวาน (26ก.ค.) ที่ ศบค. “นายกฯลุงตู่”ขอต่อเวลาไปเป็น 2 ส.ค. ก็แล้ว แต่“โควิด”ก็ยังดุ บุกโจมตีเข้าไปในบ้านมีเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง อยู่ในบ้านติดเชื้อเสียชีวิต บางครอบครัวเพื่อให้คนที่รักได้รอดจำใจต้องออกจากบ้านมาข้างนอกจนเกิดภาพ“คนไร้บ้าน”และ ยังคงเกิดภาพการเสียชีวิตข้างถนน แม้ก่อนหน้านี้“นายกลุงตู่”เคยประกาศไว้ว่าจะต้องไม่เห็นภาพเหล่านี้เกิดขึ้นอีก โดยยอดผู้ติดเชื้อโควิดวันนี้(27ก.ค.)ยังกดไม่ลงจากหมื่น อยู่ที่ 14,150 สะสม 526,828 เสียชีวิต 118 ราย
เรียกว่ามาตรการ“ล็อกดาวน์-เคอร์ฟิว”แบบยอมเจ็บกันอีกยก ยังมีคิวให้ศบค.“นายกฯลุงตู่”ต้องตัดสินใจอีกหนว่าจะ“ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ”หรือไม่ จากที่ ล็อกแค่ กรุงเทพ-ปริมณฑล และจังหวัดใต้ รวม 13 จังหวัด ที่ยอมรับกันในที ว่า“ยังไม่ได้ผล”แถมทำท่าจะ“เสียของ”กับการ“กดยอด”การติดเชื้อเสียชีวิตให้ลดลงไปได้
ในขณะที่“คู่ขนานกันไป”คือสถานการณ์ที่แย่ลงของ“ระบบสาธารณสุข”จากอาการ“โหลดหนัก”ของ“นักรบด่านหน้า”บุคลากรทางการแพทย์ ที่บางส่วนไปเรียกร้อง“เสื้อเกราะ”วัคซีนไฟเซอร์ ที่สถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งโรงพยาบาลระดับโรงเรียนแพทย์อย่าง รามาฯ และโรงพยาบาลสนามที่จัดว่ามีระบบใช้ได้อย่าง โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ก็เพิ่ง“ด่านแตก”ไปวันก่อน
ทำให้เกิดภาพ “วนลูป” ที่โรงพยาบาลไม่สามารถรับคนไข้หนักโควิดเข้ามาได้อีกจนมีการกระจายผู้ป่วยแสดงอาการไปยัง“โรงพยาบาลสนามบุษราคัม” ที่รับ “ผู้ป่วยเหลือง”เกือบแดง ที่มาจาก“ผู้ป่วยเขียว”ที่อยู่ในระบบ“รักษาตัวที่บ้าน”ที่ติดปัญหา“ระบบ”หลายประการทำให้“ความจริงชีวิต” “ผู้ป่วยสีเขียว”เข้าไม่ถึง“ระบบสาธารณสุข” ไม่นับรวมบรรดา“ผู้ป่วยแสดงอาการ”ที่“ตรวจด้วยตัวเอง”ตามมาตรการที่แนะนำแล้ว แต่ยังติดระเบียบต้อง“ตรวจอย่างเป็นทางการ”จึงจะได้รับการรักษา โดยไปต้องไปรอคิวตรวจตามสถานที่ต่างๆเพราะโรงพยาบาลเองก็ไม่รับตรวจแม้ว่าจะมีการ“ปลดล็อก”เรื่องที่ต้องรับรักษาหากตรวจพบเชื้อแล้วก็ตาม
แต่ที่น่าสนใจจากการแถลงของ ศบค.เมื่อวาน(26ก.ค.) และนำมาสู่ภาพ“หมอหนู”และ“ศักดิ์สยาม”ไปส่งผู้ติดเชื้อเขียว-เหลือง ขึ้นรถไฟที่รังสิตกลับบ้าน 6 จังหวัดอีสาน เกือบ 200 คน ไม่นับรวมที่มีหน่วยงานกองทัพดำเนินการ โดย“หมอเบิร์ด” ผู้ช่วยโฆษก รายงาน ว่า พบการติดเชื้อในต่างจังหวัดถึง 59% แซงหน้า กรุงเทพฯ – ปริมณฑล ที่มีเปอร์เซ็นต์อยู่ที่ 41% ไปแล้ว โดยพบว่า มีข้อมูลเชื้อนำเข้าที่ยืนยันประวัติผู้ป่วยเดินทางกลับมาจาก กรุงเทพฯ – ปริมณฑล ในหลายพื้นที่เขตสุขภาพ ทั้ง
เขต 1 : สูงสุด น่าน, พะเยา, แพร่
เขต 2 : สูงสุด จ.อุดรดิตถ์
เขต 3 : **ทุกจังหวัด** นครสวรรค์, พิจิตร, กำแพงเพชร, อุทัยธานี, ชัยนาท
เขต 7 : สูงสุด จ.ขอนแก่น
เขต 9 : สูงสุด จ.นครราชสีมา
เขต 10 : **ทุกจังหวัด** อุบลราชธานี, ศรีสะเกษ, ยโสธร, อำนาจเจริญ, มุกดาหาร
ที่อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ในครั้งที่มีการปิดแคมป์คนงาน และเกิดการกระจายเชื้อกลับไปต่างจังหวัดนั้น เคยมีการระบุว่า เคยมีแนวคิดจาก“บิ๊กป๊อก”ในการแก้ปัญหา“รอเตียง”ในกรุงเทพที่เตียงเต็ม ด้วยการให้คนกลับไปรักษาที่ต่างจังหวัด ที่แนวทางนี้มีบางฝ่ายรวมถึงหมอบางท่านไม่เห็นด้วย โดยประเมินว่า การส่งผู้ป่วยโควิดกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิด จะกลายเป็นปัญหาใหญ่โรคแพร่ระบาดอย่างหนัก กลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่ทุกทิศทั่วไทย จนนำไปสู่ภาพ โรงพยาบาลทุกจังหวัดวิกฤตอย่างหนัก เตียงไม่พอ ซึ่งแนวทางดังกล่าว จะถือว่าเป็นการแก้ปัญหาโรคระบาดล้มเหลวหรือไม่ ทั้งที่หลายประเทศแก้ปัญหาโรคระบาดโดยมุ่งเน้น“ขีดวงจำกัดการแพร่เชื้อ”ให้อยู่ไม่ให้แพร่เชื้อออกสู่ภายนอก…แต่แนวคิดของไทย กลายเป็นว่า เมื่อมีปัญหาแก้ไม่ตกจะผลักออก เช่น กรณีกรุงเทพ-ปริมณฑล ที่“เอาไม่อยู่”จึงกระจายความเสี่ยงออกไปต่างจังหวัด ทั้งที่ระบบสาธารณสุขของต่างจังหวัด ที่แม้จะมีโรงพยาบาลหลายจังหวัดมีระบบการจัดการที่ดีกว่า แต่ก็ยังมีข้อจัดกัดมากกว่าระบบสาธารณสุขในส่วนกลาง
ที่ทั้งหมดทั้งมวลต้องติดตามว่ามาตรการส่งคนติดโควิดกลับบ้านของรัฐบาล จะได้ผลดีในทางปฏิบัติอย่างไร นอกจากอัตราตัวเลขที่ไปพุ่งขึ้นมากกว่ากรุงเทพฯเมืองหลวงที่ ส่งผลกระทบทางการเมืองกับ”นายกฯลุงตู่”ที่ยังยืนยันสู้จนกว่าจะชนะ ไม่นับรวมถึงเสียงวิจารณ์ กรณีความขัดแย้งกันของฝ่ายการเมืองรัฐบาล ในจังหวะนี้ ระหว่างพรรคภูมิใจไทย กับ พรรคพลังประชารัฐ กรณีข่าวลือการยุบศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news