ผ่านมาได้ 3 วันยังคงมี ”เอฟเฟ็กต์” จากสถานการณ์ ”ยึดอำนาจ” จากรัฐบาลเลือกตั้ง ในเมียนมา (1ก.พ.) และมีการจับตัว ”ผู้นำรัฐบาล” ไล่ตั้งแต่ ”อองซาน ซูจี” ลงไปโดยตั้งข้อหาครอบครอง ”วิทยุสื่อสาร” โดยไม่ได้รับอนุญาตจะถูกคุมขัง 14 วัน ที่ ”โจ ไบเดน” ปธน. และรัฐบาลสหรัฐมหาอำนาจชาติตะวันตก ”ฟันธง” ว่าแม้ ”พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง หล่าย” ผบ.ทหารสูงสุด จะอ้าง ”รัฐธรรมนูญพม่า2551” ที่ออกแบบมาเพื่อกองทัพสามารถ”ทำได้” แต่มันก็คือการทำ ”รัฐประหาร” รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ที่เข้าเงื่อนไขนำไปสู่การที่สหรัฐฯ สามารถ ”คว่ำบาตร” และระงับการช่วยเหลือประเทศเมียนมา ไม่นับรวมการเรียกร้องให้ประชาคมในภูมิภาคและโลกร่วมกันแสดงท่าทีกดดัน ”ผู้นำทหาร” ของเมียนมา
ในขณะ ”ผลกระทบ” ภายในพม่านั้น ล่าสุดหลังมีปฏิกิริยาแสดง ”อารยะขัดขืน” ของ ”ประชาชน” ทุกระดับ ตั้งแต่หมอพยาบาลดารา นายแบบ เซเลป ภาคเอกชน ยันประชาชน ที่แสดงออกโดยการ”ชู3นิ้ว”และ”ตีกาละมังทุบหม้อ เคาะกระทะ บีบแตรรถยนต์ ดังสนั่นในหลายเมือง สื่อสารผ่านโลกโซเชียลออกมาให้ ”คนไทย” และโลกรับรู้ ทำให้ช่วงเช้ามืดวันนี้ รัฐบาลพม่า ได้สั่งปล็อกปิดทุกช่องทางโซเชียลทั้งเฟซบุ๊กและสัญญานอินเตอร์เน็ตบ้าน
ที่ปฏิกริยาของ ”คนพม่า” ยังคงก่อแรงกระเพื่อมขยายวงต่อไป แม้ยังไม่ถึงขั้นมีการชุมนุมแสดงออกเพื่อต่อต้าน ”รัฐบาลทหาร” แบบที่มีชาวพม่าชุมนุมที่หน้าสถานทูตพม่าในไทย ที่สมทบด้วย ”กลุ่มวีโว่” ของ ”โตโต้ ปิยรัฐ” การ์ดคณะราษฎร แต่ก็มี ”นักวิชาการไทย” ประเมินว่านอกจากแรงกดดันจากนานาประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรปที่จะเข้มข้นมากกว่า ”รัฐประหาร” ของประเทศไทย พ.ศ. 2557 หากมีการชุมนุมในพม่าก็มีแนวโน้มไปสู่การปะทะ เพราะระดับของความรู้สึกของผู้ชุมนุมในพม่าจะรุนแรงมากกว่าหลายเท่า ขณะที่กองทัพเองก็ย่อมมีแผนยุทธวิธีทหารไว้รับมือที่ปลายทางสุ่มเสี่ยงอาจนำไปสู่สถานการณ์รุนแรงแบบใน ปี 1988 หรือ 2006 ที่หลายฝ่าย โดยเฉพาะ ”กลุ่มทุน” ที่มีโครงการลงทุนมูลค่ามหาศาลอยู่ในเมียนมา ทั้งประเทศไทยเอง และประเทศใน 10 ประเทศอาเซียน รวมถึงกลุ่มอาเซียน+3 หรือ +6 ที่มีประเทศมหาอำนาจฝั่งตะวันออกและตะวันตกอย่าง ”จีน-สหรัฐ” ร่วมแจมด้วยมีความกังวลในประเด็นนี้ เพราะจะส่งผลกระทบผลประโยชน์ที่ลงทุนไว้ในเมียนมา
แต่ที่น่าสนใจอีกอัน คือผลกระทบ กับประเทศไทย ในฐานะที่ใกล้ชิดในสถานการณ์ ”โควิด” ที่มีพรมแดนติดพม่ายาว 2 พันกิโล และมีแรงงานพม่าเข้ามาทำงานจำนวนมาก ที่กำลังถูกจับตา และเปรียบเทียบในความเหมือนคือเป็น 2 ใน 10 ประเทศที่มีการทำ ”รัฐประหาร” และอยู่ภายใต้ ”รัฐบาลทหาร” ณ ปัจจุบัน ที่มหาอำนาจตะวันตกเริ่มจับตา ”บทบาท” ของ ”จีน” ที่แม้ไม่มีมีการแสดงออกชัดแต่รู้กันในที ในสถานการณ์การเมือง 2 ประเทศพม่าและไทย ที่มี ”โมเดล” เหมือนกันคือ ”กองทัพ” เข้ามามี ”บทบาท” ทางการเมืองอันเชื่อมโยงต่อ ”ผลประโยชน์เศรษฐกิจ” ในภูมิภาค
ที่ไม่แปลกว่าเมื่อ ”นักข่าวสายทหาร” นำเรื่อง ”รัฐประหารเมียนมา” มาถาม ”บิ๊กบี้” ผบ.ทบ. วันนี้ทำนอง ที่ผ่านมา ทหารไทย ปฏิวัติบ่อยๆ พอเห็นทหารเมียนมารัฐประหารแล้วรู้สึกยังไง ว่า“ไม่มีความรู้สึก” เพราะคำว่า ”รัฐประหาร” ไม่มีในหัวมานานแล้ว ก่อนปัดที่จะตอบว่า เมียนมายึดโมเดลไทยและไม่ได้คุยกับผู้นำทหารพม่าเรื่องสาเหตุการทำ ”รัฐประหาร” เพราะเป็นเรื่องภายใน ไทยมีจุดยืนตาม Asean ไม่แทรกแซง และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องการเมืองทหารคุยแต่เรื่องทหารเท่านั้น
เรียกว่าสถานการณ์ผลกระทบและปฏิกริยาต้านการ ”ยึดอำนาจ” ของ ”ทหาร” แบบอารยขัดขืนแนวชู 3 นิ้ว ตีกาละมังเคาะหม้อ ทุบกระทะไล่ ”กองทัพ” ในเมียนมาจาก ”ประชาชน” คนพม่า ในประเทศพม่าและนอกประเทศใน ”ยุคโควิด” ไม่ให้ชุมนุมน่าจะดังต่อไปแบบที่มีแรง ”กดดัน” จากประเด็นทางการเมืองความมั่นคงเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ในภูมิภาค ”คู่ขนาน” ที่ย่อมมีบางจังหวะ จะมีการดึงเอาทุกประเทศอาเซียน รวมถึงไทยต้องเข้าไปเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news